“พวกนายไม่รู้หรอกว่าเขาเจ๋งแค่ไหน…”

นั่นคือประโยคที่ เจอร์เกน คลอปป์ มักจะพูดกับลูกทีมเสมอในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล เมื่อเดือนตุลาคม 2015 กุนซือชาวเยอรมัน มักจะพูดประโยคที่ว่า พร้อมกับชี้ไปที่นักเตะคนหนึ่งที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมห้องด้วยท่าทางเหนียมอาย ด้วยความที่เป็นนักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นั้น ก่อนหน้าที่ คลอปป์ จะเข้ามาคุมทีมแทน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แค่ไม่กี่เดือน

ในวันนั้น โรแบร์โต ฟีร์มิโน มีสถานะเป็นนักเตะหน้าใหม่ในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวของ “หงส์แดง” แต่ คลอปป์ รู้จักกองหน้ารายนี้เป็นอย่างดี สมัยที่เขาคุมทีมในเยอรมัน ขณะที่หัวหอกชาวบราซิลเล่นอยู่กับ ฮอฟเฟนไฮม์

ชีวิตบนถนนลูกหนังของ ฟีร์มิโน เริ่มต้นขึ้นที่เมืองมาไซโอ บ้านเกิดของเขาในบราซิล เด็กชายฟีร์มิโน ชื่นชอบในเกมฟุตบอลเฉกเช่นเด็กผู้ชายบราซิเลียนทั่วไป แต่สำหรับเขา แค่ชื่นชอบไม่น่าใช่ ควรเรียกว่าคลั่งไคล้น่าจะถูกต้องมากกว่า ในวัยเด็ก เขามักจะแอบหนีแม่ไปเตะบอลกับเพื่อนๆ แทบทุกวัน จนกระทั่งได้เล่นในทีมโรงเรียน และได้ทดสอบฝีเท้ากับสโมสรในละแวกบ้าน

จนกระทั่งวันหนึ่ง ฝีเท้าของ ฟีร์มิโน ไปเข้าตาแมวมองของสโมสร ฟิเกเรนเซ จนถูกดึงเข้าไปอยู่ในทีมเยาวชนเมื่อปี 2008 ด้วยวัย 17 ปี โดยในช่วงแรกๆ เขาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ก่อนจะค่อยๆ ขยับขึ้นมาเป็นแนวรุกในเวลาต่อมา

ฟีร์มิโน ได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ของ ฟิเกเรนเซ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2009 โดยถูกส่งลงเป็นตัวสำรองในเกมกับ ปอนเต เปรตรา และยิงประตูแรกได้ในเกมกับ เซา กาเอตาโน ในเดือนพฤษภาคม 2010 ฤดูกาลนั้น เขายิงไป 8 ประตู จากการได้ลงเล่น 36 นัด และมีส่วนสำคัญช่วยให้ ฟิเกเรนเซ เลื่อนชั้นกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

ผลงานดังกล่าว ทำให้ ฟีร์มิโน เริ่มเป็นที่จับตามองของหลายทีมในยุโรป ก่อนที่จะเป็น ฮอฟเฟนไฮม์ ที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในเดือนมกราคม 2011 โดยช่วงเวลา 5 ปีในเวทีบุนเดสลีกานั้น ผลงานของดาวเตะบราซิเลียน พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในซีซั่น 2013-14 เขาได้รับรางวัลนักเตะแจ้งเกิดแห่งปี หลังทำไปถึง 16 ประตู

ด้วยฟอร์มอันโดดเด่นในเวทีบุนเดสลีกา ทำให้ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผอ.ลูกหนังของลิเวอร์พูล ในเวลานั้น ให้ความสนใจในตัว ฟีร์มิโน และเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้เป็นกุนซือแล้ว เอียน อายร์ ซีอีโอของ “หงส์แดง” จึงต้องบินไปยังทวีปอเมริกาใต้ มุ่งตรงไปยังแคมป์เก็บตัวของทีมชาติบราซิล เพื่อเดินเรื่องคว้ากองหน้ารายนี้มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์

ในซัมเมอร์ปีนั้น ฟีร์มิโน ไม่ใช่กองหน้าคนเดียวที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัวมาเสริมทัพ ยังมี คริสติยอง เบนเตเก ที่อำลา แอสตัน วิลลา เดินเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อีกคนด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ แต่สุดท้าย มีแค่ ฟีร์มิโน เท่านั้นที่อำลาไปในฐานะตำนาน…

ช่วงแรกของการค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์ ฟีร์มิโน สวมเสื้อหมายเลข 11 ลงล่าตาข่าย แต่เมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายเข้ามาร่วมทีมในปี 2017 เขายินยอมสละเบอร์ 11 ให้ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ด้วยความยินดี ก่อนจะย้ายไปสวมเบอร์ 9

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขา “แอสซิสต์” ให้ ซาลาห์ ก่อนที่ตลอดช่วงเวลาที่เล่นด้วยกัน เขาจะจ่ายบอลให้ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ทำประตูได้นับไม่ถ้วน บวกกับ ซาดิโอ มาเน ที่ย้ายเข้ามาร่วมทีมก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2016 ทำให้สุดท้ายแล้ว แนวรุก “SMF” กลายเป็นฝันร้ายของกองหลังคู่แข่งทุกทีมที่เจอ

ทันทีที่ได้จิ๊กซอว์ในแนวรุกครบทั้ง 3 คนแล้ว เจอร์เกน คลอปป์ ตัดสินใจขยับ ฟีร์มิโน จากตัวรุกริมเส้น เข้ามาเป็นกองหน้าตัวกลางในรูปแบบ “False 9” และกลายเป็นความลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ดาวเตะทีมชาติบราซิล กลายเป็นคนที่ลงต่ำมาทำเกมคล้ายเป็นเพลย์เมคเกอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเคยเล่นมาก่อนแล้วคำพูดจาก เว็บปั่นสล็อต

“ซาลาห์-มาเน-ฟีร์มิโน” ลงเล่นร่วมกันเป็นเกมแรก ในเกมดวลกับ วัตฟอร์ด เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 หลังจากนั้นทั้ง 3 คนกลายเป็นกำลังสำคัญในการพา “หงส์แดง” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กวาดแชมป์ได้ทั้งพรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ

และนับตั้งแต่เกมแรกที่ทั้ง 3 คนเล่นด้วยกัน จนถึงช่วงที่ มาเน ลาไปอยู่กับ บาเยิร์น เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานั้น ทั้ง 3 คนยิงประตูรวมกันได้ถึง 338 ประตู และทำแอสซิสต์รวมกันได้ 137 ครั้ง…คำพูดจาก เว็บปั่นสล็อต!

จะว่าไป เรื่องของความโดดเด่น ฟีร์มิโน อาจมีไม่เท่า ซาลาห์ และ มาเน แต่ถามว่าอะไรทำให้เขายังคงเป็นขวัญใจของแฟนบอล คำตอบอาจเป็นการเล่นโดยไม่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อทีมเป็นหลัก เขาทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย แม้แต่ในพื้นที่ที่เล่นได้ยาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีทั้งลีลาและความสง่างาม ประเภทลูกยิงแบบไม่มองอะไรทำนองนั้น

ถึงนาทีนี้ ฟีร์มิโน ยังเหลืออีก 1 เกม ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลซึ่ง “หงส์แดง” จะบุกไปเยือน “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน แต่ด้วยผลงานถึงตรงนี้ กับ 110 ประตู 79 แอสซิสต์ จาก 354 เกม นั่นก็พอเสียยิ่งกว่าพอแล้วที่จะทำให้ ฟีร์มิโน ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในนักเตะระดับ “ตำนาน” ของ ลิเวอร์พูล

มันเป็นช่วงเวลา 8 ปีที่ยอดเยี่ยมของ ฟีร์มิโน ในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ในที่สุด งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในวัย 31 ปี กับสถานการณ์ปัจจุบันที่ทีมได้ โคดี กัคโป เข้ามาเป็นตัวแทน มันคงถึงเวลาแล้วที่ดาวเตะบราซิเลียน จะก้าวออกไปหาความท้าทายใหม่ๆ แม้ เจอร์เกน คลอปป์ จะอยากให้เขาอยู่กับทีมต่อไปก็ตาม

“คุณฉลาดมากในเรื่องฟุตบอล ในการซ้อม คุณเป็นคนแรกที่ปฎิบัติแบบฝึกหัดได้อย่างถูกต้อง ทั้งที่ดูแค่ครั้งเดียวแต่ก็เข้าใจ และปฏิบัติได้ทันที มันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ นั่นทำให้คุณเป็นนักเตะในแบบของคุณ ทั้งเทคนิค แทคติก มันสมองในการเล่นล้วนมหัศจรรย์ และสิ่งที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้คุณเป็นคุณ”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ คลอปป์ ถึงลูกทีมคนโปรด ในงานเลี้ยงอำลาเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และแม้หลังจากนี้ ฟีร์มิโน จะไม่อยู่กับทีมอีกต่อไปแล้ว แต่แน่นอนว่า “เดอะ ค็อป” ทั้งปวงคงไม่ลืมเขา และคงจะยังติดตามก้าวต่อไปบนถนนลูกหนังของเขาด้วยความหวังดี

Good Bye โรแบร์โต ฟีร์มิโน…

Good Bye โรแบร์โต ฟีร์มิโน…

admin